ผมถือหนังสือ “ห้องเรียนห้องใหญ่มีควายเป็นครู” เข้าชั้นเรียน
ไม่ได้ตั้งใจจะไปขายหนังสือ แต่ตั้งใจจะเอาไปเป็นเครื่องมือการสอน
ให้เห็นว่า รุ่นพี่ของพวกเขาได้มีโอกาสฟังเพลงในอีกมิติหนึ่ง
จนลึกซึ้งกับเนื้อหาและการตีความจนสามารถนำมาเป็นประโยชน์ต่อชีวิต
เป็นประโยชน์ต่อวิธีการเรียนการสอน และผลของการโต้แย้งอภิปรายในชั้นเรียน
สามารถนำมาถ่ายทอด ต่อยอดให้กับคนอื่นได้รับรู้ในรูปแบบของสวนอักษรได้อีก
นอกเหนือไปจากฟังเพื่อความบันเทิงเพียงมิติเดียว
แต่ถ้าใครจะไปซื้อหามาอ่านก็ไม่ผิดกติกา เพียงแต่ว่าไม่มีขายในห้องเรียน
ผมยังคงถือกีต้าร์เข้าห้องเรียนในสัปดาห์แรกเหมือนทุกครั้ง
วันนี้ผมใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์เก่า ๆ รองเท้าผ้าใบลายกราฟฟิก
ข้างหนึ่งสีน้ำเงินอีกข้างสีแดงแปร๊ด (ซื้อลายเดียวกันมาสองคู่แต่สลับข้างใส่)
วิธีการถือกีต้าร์เข้าห้องเรียนกับการแต่งตัวที่ดูไม่เหมือนครู
ยังใช้ประโยชน์ในการเรียกความสนใจจากนักศึกษาได้เสมอ
เมื่อยังใช้วิธีนี้ได้อยู่ ทำไมจะต้องเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ใช้ได้ผล
ก่อนเข้าห้อง...มีนักศึกษาคนหนึ่งที่เป็นแฟนคาราบาวและมีหนังสือทั้งสองเล่มที่ผมเขียน
“ตามรอยควาย” และ “ห้องเรียนห้องใหญ่มีควายเป็นครู”
แอบเข้ามาบอกว่า
“ที่ผมเลือกลงทะเบียนวิชานี้เพราะเห็นชื่ออาจารย์เป็นผู้สอน”
อืมม์.....เป็นน้ำทิพย์ชะโลมจิตใจให้ชุ่มชื่นอีกประโยคหนึ่ง (ของชีวิต)
ผมกล่าวขอบคุณและบอกให้ตั้งใจเรียน ก่อนจะได้รับคำถามต่อมาทันทีว่า
“ในหนังสือห้องเรียนห้องใหญ่มีความเป็นครู อาจารย์พูดถึงเพลงของคาราบาว
ที่สามารถนำมาสอนได้อีกหลายวิชา อยากให้อาจารย์ช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้ด้วย”
ผมเห็นว่าคำถามนี้และคำตอบของผมควรจะนำไปใช้ประโยชน์ในชั้นเรียน
วิชาการโฆษณาขั้นสูง ที่ประตูห้องเรียนอยู่ห่างจากผมไม่เกินสามก้าว
ผมจึงขอให้เขาช่วยถามคำถามนี้อีกครั้งในจังหวะที่เหมาะสม
แผนการสอนที่จะเริ่มต้นด้วยเพลงทุ่งฝันตะวันรอนถูกรื้อทิ้งทันทีที่หน้าห้อง
ผมมีเวลาคิดออกแบบการสอนใหม่ เพื่อเริ่มต้นชั้นเรียนเพียงแค่ดื่มน้ำแก้วเดียว
ที่วางอยู่บนโต๊ะ
ที่สุดผมตัดสินใจยกเอา “บทสรุป”ของวิชาการโฆษณาที่จะใช้ลงท้ายในวันนี้
มาขึ้นต้นแทน
มันก็ไม่แปลกที่จะเอา
“หลังขึ้นมาหน้า”
เพราะภาพยนตร์หลายเรื่องก็เริ่มต้นด้วยบทสรุปของหนัง ก่อนจะค่อย ๆ คลี่คลาย
รายละเอียดในสองชั่วโมงที่เหลือ แต่หลายครั้งชั้นเรียนของผมก็ไม่จำเป็น
ต้อง “เริ่มต้นด้วยการเริ่มต้น”
ผมวางปากกาเมจิกหัวโต ๆ ลงบนกระดานไวท์บอร์ด เขียนบทสรุป 6 ข้อ
ของเนื้อหาเฉพาะในวันนี้ลงไป..(ผมเขียนเฉพาะตัวหนานะครับ ไม่ได้เขียนทั้งหมด)
1. งานโฆษณาไม่ใช่งานที่ทำออกมาแล้วดูสวย ดูเพลิดเพลิน
จนกลายเป็นงานศิลปะชั้นเอก แต่งานโฆษณาคืองานที่สื่อสารข้อมูล
2. ความสำเร็จของงานโฆษณา ไม่ได้อยู่ที่ทำออกมาแล้วได้รางวัล ไม่ใช่คำอุทาน
ของคนดูโฆษณาว่า “ครีเอทีฟจริง ๆ เลย” แต่งานโฆษณาหมายถึง “สินค้าชิ้นนี้
น่าซื้อจริง ๆ เลย”
3. “ขณะที่รถวิ่งด้วยความเร็ว 120 กิโลเมตรต่vชั่วโมง เสียงที่ดังที่สุดจาก
โรลสรอยส์ ที่คุณจะได้ยินคือ เสียงเดินของเข็มนาฬิกาคนเขียนคำโฆษณา
(Copy Writer) ความคิดที่ดีนี้มาจากการอ่านข้อมูลของสินค้านานกว่า 3 สัปดาห์
4. เมื่อรู้จักสินค้าของเราแล้ว ต่อไปให้ดูคู่แข่งขันว่าทำโฆษณาอย่างไร
ดูแล้ววิเคราะห์ให้ได้ว่าเขาประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวเพราะอะไร
5. คนไม่ได้เลือกตัวสินค้า แต่เลือกภาพลักษณ์ (Image) ที่เหมาะกับตัวของเขาเอง
ให้นึกภาพตัวเองกำลังรินวิสกี้ยี่ห้อจอห์นนี่วอล์กเกอร์ บลูเลเบิ้ล
เทียบกับรินวิสกี้แบล็คแคท เราเหมาะกับสินค้าตัวไหนมากกว่า สินค้าหลายชนิด
เป็นเรื่องละเอียดอ่อน การเลือกใช้แค่ “เหตุผล” ในการสื่อสาร ไม่มีวันทำได้สำเร็จ
6. รอโอกาสให้บางส่วนของโฆษณาได้ทำหน้าที่ ใครจะรู้บ้างว่าเพลง
“คนไทยหรือเปล่า” ในโฆษณาเบียร์ช้าง ของคาราบาว จะกลายเป็นวลีฮิตติดปาก
คล้าย ๆ กับที่ยังจำประโยค “เก่งจริงนะตัวแค่เนี้ยะ” ของผ้าอนามัยลอริเอะ
หรือ “คู่รักคู่รส” ของคอฟฟี่เมทได้ หรือจะนับเอาวลี “บาวแดงขวด” ที่มาพร้อม
สัญลักษณ์ทำมือเป็นรูปเขาควาย ที่เอาคำกับสัญญะเข้ามาผสมกันได้อย่างได้อารมณ์
ในที่สุดผมก็โยงคาราบาวเข้ามาจนได้ !!!
“ใครมีอะไรอยากบอก/อยากถามมั้ย”
นี่แหละครับที่ผมบอกว่ารอโอกาสเหมาะ ๆ ให้นักศึกษาที่เตี๊ยมกันนอกห้อง
ได้ตั้งคำถาม
“ในหนังสือห้องเรียนห้องใหญ่มีความเป็นครู อาจารย์พูดถึงเพลงของคาราบาว
ที่สามารถนำมาสอนได้อีกหลายวิชา อยากให้อาจารย์ช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้ด้วย”
ผมหยิบกีต้าร์ขึ้นมา มีเพลงหนึ่งที่อยู่ในใจ และเป็นเพลง
ที่แม้แต่แฟนคาราบาวก็อาจจะไม่ใคร่จะสนใจนัก แต่เนื้อเพลงมีหลายท่อนหลายประโยค
ที่จะอธิบาย “บางอย่าง” ให้คนเรียนได้รู้ในมิติด้านลึกสำหรับหัดวิเคราะห์
“ทั้ง ๆ ที่ทน ที่ทนทุกข์ทรมาน แดดเผาเสียจนดำกร้าน แต่ความสงสารมักวิ่งสวนทาง
สัญญาณไฟจอดอ้อนอ้อนทำบุญสุนทาน มีดอกไม้หอม ๆ ตูมบาน มาลัยเป็นพวงสองพวงห้าบาท
แสงแดดแผดร้อน สอดส่องสายตาจับจ้อง ขาก้าวเดิน ปากป่าวร้อง สองมือทำงานเช็ดถูกระจก
คือน้ำใจของลูก ผูกพันภาระอันยิ่งใหญ่ ทดแทนคุณแม่ที่แก่เกินวัย นั่งร้อยมาลัย
ณ ริมฟุตบาท
ถึงจะมีจะจนก็เป็นคนเหมือน ๆ กัน ขอเศษสตางค์แบ่งปัน หนูน้อยกำนัลด้วยพวงมาลัย
คือน้ำใจของท่าน ผูกพันภาระอันยิ่งใหญ่ ผูกใจเข้าใช่ผูกใจใคร คล้องพวงมาลัย
คล้องไทยรวมกัน
ระทมขมขื่น กล้ำกลืนฝืนทนทำไป ในหน้าที่ของตำรวจไทย ต้องอึดอัดใจไล่จับความจน
เพราะคนเป็นตำรวจ ตรวจตราแล้วมีเหตุผล มาลัยทำไปเพราะอับจน ให้ตำรวจจับโจร
เสียยังดีกว่า
สงสารเด็กน้อยมาลัยรบกวนผู้ใหญ่ ผู้รับผิดชอบประเทศประไทย ท่านคิดอย่างไร
ปัญหาอย่างนี้ จึงขอแนะนำว่าลงมาขายมาลัยสิ ท่านจะรู้คำตอบได้ดี ว่าที่ท่านคิดมันผิดหรือถูก”
(เพลงมาลัย อัลบั้ม อเมริกันอันธพาล คาราบาว พ.ศ.2528)
ลองช่วยกันหาประโยคในเพลงที่จะบอกเราว่า.....คาราบาวเป็นครูสอนการตลาด
สอนจริยธรรม
สอนสังคมศึกษา
สอนรัฐศาสตร์
ได้มั้ยครับ!!!! (ลองดู)
สัญญาณไฟจอด = วิชาพื้นฐานการตลาด ในตำราเราเรียกว่า 4’Ps
เราเรียนรู้ได้ว่าเด็กขายพวงมาลัยรู้จักเลือกพื้นที่การขาย (Place)
มีดอกไม้หอม ๆ ตูมบาน = วิชาพื้นฐานการตลาดอีกข้อหนึ่งหนึ่งที่สอนให้เราเรียนรู้
เรื่อง ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ (Product Varieties)
มาลัยเป็นพวงสองพวงห้าบาท = วิชาพื้นฐานการตลาด เรื่อง ราคาและการส่งเสริการขาย
(Price and Promotion)
ขาก้าวเดิน ปากป่าวร้อง = วิชาพื้นฐานการตลาด เรื่อง การตลาดขายตรง (Direct Sales)
สองมือทำงานเช็ดถูกระจก = วิชาพื้นฐานการตลาดบอกเราด้วยว่า ถ้า (ลด แลก แจก) แถม
ได้ก็จะดี
คือน้ำใจของลูก ผูกพันภาระอันยิ่งใหญ่ ทดแทนคุณแม่ที่แก่เกินวัย = วิชาจริยธรรม
ถึงจะมีจะจนก็เป็นคนเหมือน ๆ กัน = สอนวิชาสังคมศึกษา เรื่องสิทธิและความเสมอภาค
ในความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน
ในหน้าที่ของตำรวจไทย ต้องอึดอัดใจไล่จับความจน = วิชาสังคมศึกษา
เรื่อง หน้าที่พลเมือง
ผู้รับผิดชอบประเทศประไทย ท่านคิดอย่างไรปัญหาอย่างนี้ = วิชารัฐศาสตร์ การเมือง
การปกครอง
ผมร้องเพลงมาลัยจบอย่างทุลักทุเลพอควร กดคอร์ดไม่ถูกบ้าง บอดบ้าง
ร้องเนื้อผิดบ้าง ถ้าเล่นดนตรีแล้วกดคอร์ดแป้ก หรือร้องผิดท่อน นี่ถือว่า
ไร้สมรรถภาพทางการดนตรีอย่างยิ่ง แต่คงไม่มีใครสนใจถึงข้อผิดพลาดนี้เท่าใดนัก
เพราะเพลงทำหน้าที่ของเพลงอย่างสมบูรณ์ไปแล้ว คือสื่อสารกับคนฟัง
อย่างมีเป้าหมายและให้ซาบซึ้งไปกับความคิดของศิลปิน
ผมยืนยันได้ว่าไม่มีใครสนใจข้อผิดพลาด เพราะผมต้องร้องเพลงนี้ซ้ำอีกครั้ง
ตามคำเรียกร้อง หลังจากอธิบายแยกส่วนทีละบรรทัด ๆ ผมรีบเข้าเนื้อหาการโฆษณาที่
เตรียมมาอีกครั้ง เพราะกลัวว่าจะมีใครสักคนลองของถามถึงเพลงคาราบาวที่
สอนวิชาการพยาบาล
แต่ถ้ามีใครถามผมเตรียมคำตอบไว้แล้วด้วย
“เอ๊า....คนข้าง ๆ ช่วยต่อยคนถามให้ตาเขียวสักที ถือเป็นการเรียนรู้แบบ
Learning by Doing”
ถ้าใครกล้าถามแล้วมีคนกล้าต่อย ผมจะร้องเพลง บัวลอย
(เพลงสุดท้ายในอัลบั้มเมดอินไทยแลนด์) ให้ฟัง
ก็เห็นว่า ... ในอดีตพอเพลงนี้ขึ้นเป็นเหมือนสัญญาณแสดงความเป็นชายโชว์หญิง
เกือบทุกที ทั้ง ๆ ที่ความหมายของ “บัวลอย” มีปรัชญาและความล้ำลึก เกินกว่า
คนชอบโชว์พาวด์จะเข้าใจ
“ฟังเพลงพอหรือยัง....มาเรียนกันต่อ”
ผมทิ้งท้ายก่อนจะนำเข้าเนื้อหาการโฆษณาจริง ๆ สักที
ผมยืนยันได้ว่าไม่มีใครสนใจข้อผิดพลาด เพราะผมต้องร้องเพลงนี้ซ้ำอีกครั้ง
ตามคำเรียกร้อง หลังจากอธิบายแยกส่วนทีละบรรทัด ๆ ผมรีบเข้าเนื้อหาการโฆษณาที่
เตรียมมาอีกครั้ง เพราะกลัวว่าจะมีใครสักคนลองของถามถึงเพลงคาราบาวที่
สอนวิชาการพยาบาล
แต่ถ้ามีใครถามผมเตรียมคำตอบไว้แล้วด้วย
“เอ๊า....คนข้าง ๆ ช่วยต่อยคนถามให้ตาเขียวสักที ถือเป็นการเรียนรู้แบบ
Learning by Doing”
ถ้าใครกล้าถามแล้วมีคนกล้าต่อย ผมจะร้องเพลง บัวลอย
(เพลงสุดท้ายในอัลบั้มเมดอินไทยแลนด์) ให้ฟัง
ก็เห็นว่า ... ในอดีตพอเพลงนี้ขึ้นเป็นเหมือนสัญญาณแสดงความเป็นชายโชว์หญิง
เกือบทุกที ทั้ง ๆ ที่ความหมายของ “บัวลอย” มีปรัชญาและความล้ำลึก เกินกว่า
คนชอบโชว์พาวด์จะเข้าใจ
“ฟังเพลงพอหรือยัง....มาเรียนกันต่อ”
ผมทิ้งท้ายก่อนจะนำเข้าเนื้อหาการโฆษณาจริง ๆ สักที
(หลังพาออกทะเลไปเกือบชั่วโมง.)
ภาพประกอบบทความ ปกหนังสือห้องเรียนห้องใหญ่มีควายเป็นครู
เขียนภาพการ์ตูน โดน เป้ ออสซี่ สมาชิก www.carabao2524.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น